วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรื่องโดน โดน


เมื่อสายวันหนึ่งของวันศุกร์ เด็กๆอนุบาล 1 ครึ้มอกครึ้มใจ เพราะจะได้นำเสนอผลงานและแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาตลอดทั้งสัปดาห์ (Show and Share) และกลุ่มแมวอันประกอบด้วยสมาชิกเกือบสิบคนต่างตั้งอกตั้งใจนำเสนอการดูแลและปฏิบัติตนต่อน้องแมวเมี้ยวหง่าว

สวัสดีค่ะคุณครูและเพื่อนๆ พวกเราจะมานำเสนอเรื่องการดูแลแมวครับ/ค่ะ
คนแรกคุณครูตั้งใจนำเสนอปุญมึนโฮเด็กไทยหน้าคล้ายเกาหลี
คุณครู : ปุญคนแรกครับ
น้องปุญเกาศีรษะหมายว่า "งานเข้า" และตั้งใจเปิดการนำเสนอการดูแลแมวว่า
ปุญ : อย่าให้แมวข่วนเราได้ครับ
คุณครู : ปึง !!! ดีมากค่ะ (ดูแลแมวหรือดูแลตัวเองน้อลูก) เชิญคนต่อไปค่ะ
ออร์โต้ : ถ้ารักแมวเพื่อนๆอย่าตีแมวนะครับ
หอม : ถ้าแมวไม่สบายให้พาแมวไปหาหมอ
เนย : ให้อาหารเขาทุกวัน
คุณครู : ทุกคนยอดเยี่ยมมากค่ะ
พอมาถึงนุนิ เด็กน้อยหน้าไทย หัวใจอีสานคักๆ
คุณครู : เชิญนุนิค่ะ
นุนิ : อย่าขังแมวไว้โดน โดน
คุณครู : ปึง !!!! อะไรนะคะ อีกครั้งนะคะ
นุนิ: อย่าขังแมวไว้โดนโดนค่ะ
คุณครู : ว้าว !!!!! ยอดเยียมมากค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ

โดน โดน = นาน นาน

"มีความสุขและหัวเราะกันให้โดนโดนนะคะ"

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ครูพูดผิดตรงไหน ?



วันพุธ เวลา 15.20 น. ณ ห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เด็กๆทุกนั่งล้อมวงเป็นวงกลม ครูณีกำลังอธิบายว่าการบ้านของวันนี้มีงานวิชาอะไรบ้าง และวันนี้ยังมีสื่อสารถึงเด็กๆและผู้ปกครองเรื่องการทำความสะอาดโรงเรียนร่วมกันตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล1-ป.6 โดยแต่ระดับชั้นให้ช่วยกันดูแลห้องเรียนของตนเอง
ครูณี : เด็กๆคะ พรุ่งนี้จะมีการทำความสะอาดห้องเรียนของตนเอง พร้อมกันเลยนะตั้งแต่น้องอนุบาลจนถึงพี่ป.6 และอุปกรณ์ที่เด็กๆจะต้องเตรียมมาก็มีผ้าขี้ริ้ว สำหรับทำความสะอาด เช็ด ถูตามที่ต่างๆ ส่วนคนที่ไม่สบาย ไอ จาม ขอให้นำผ้าอนามัยมาปิดปากที่โรงเรียนได้นะคะ
เด็กๆป.6 ทุกคน หัวเราะพร้อมกัน ขณะที่ครูณีก็ยังนั่งงงว่า เด็กๆหัวเราะอะไรกัน สักพักพี่เดียว เด็กชายตัวเล็ก แต่เสียงไม่เล็กเลย พูดขึ้นว่า : ครูณีจะเอาโซฟีหรือโมเดสครับ ?
เสียงหัวเราะของเด็กๆก็ดังขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง
ครูณีจึงหันกลับมาอ่านสื่อสารในมือของตนเองอีกครั้งว่าพูดผิดตรงไหนเนี๊ยะ
ครูณี :อ๋อ ขอโทษค่ะ ครูณีพูดผิด หน้ากากอนามัย ไม่ใช่ผ้าอนามัยค่ะ.

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

ไข้หนักไหม ?



หลังเลิกเรียนเย็นวันอังคารที่ 7 กันยายน 2553 ครูยิ้มทักทายน้องสกายอนุบาล1และถามข่าวคราวเกี่ยวกับพี่สำลี พี่ชายที่อยู่ชั้นป.5 ที่ไม่ได้มาโรงเรียนเนื่องจากไม่สบาย

ครูยิ้ม : สกายครับ ทำไมพี่สำลีไม่มาโรงเรียนครับ
น้องสกาย: เป็นไข้ครับ
ครูยิ้ม : เป็นไข้หนักไหมคะ
น้องสกาย : หนัก 2 กิโลครับ
ครูยิ้ม :555 เป็นไข้ชั่งได้ด้วยนะเนี๊ยะ

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เหาเป็นเหตุ

เช้าอากาศแจ่มใส เด็กๆ มาโรงเรียนแต่เช้า และเล่นที่สนามเด็กเล่นอย่างใจจดใจจ่อ

เด็กหญิงนิวผู้มีความมั่นใจ สวยเลิศ เชิด เ่ก่ง กำลังนั่งเล่นก่อปราสาททรายให้กับเจ้าหญิงอย่างเพลิดเพลินจำเริญใจ

ทันใดนั้น...ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

เด็กหญิงนิว "อู๊ยยยยยยยย ชนม์ (ทำเสียงลากยาวกึ่งไม่พอใจ) อย่าเอาหัวมาใกล้เค้าหลายเด๊อ (หน้านิ่วคิ้วขมวด)

เด็กหญิงชนม์ "ก็เค้าอยากเล่นใกล้ๆ นิวเน๊าะ!!!!!!!" (ยิ้มให้นิวอย่างมีความสุขและจริงใจที่ซู้ดดดด)

เด็กหญิงนิว "เดี๋ยวเหาเค้า ก็กระโดดขึ้นหัวชนม์หรอก" (อาการไม่พอใจยังหลงเหลืออยู่มาก)

เด็กหญิงชนม์ "แม่เค้าบอกว่าเป็นคนดีต้องเลี้ยงสัตว์ ที่บ้านเค้ายังเลี้ยงหมากับแมวเลย (เสียงปลาบปลื้มปิติ) เค้าก็อยากเลี้ยงเหาบ้างเน๊าะ!!!"

เด็กหญิงนิว "???????????????"


คุณครูน้อย "?????????" งง งง

"ยอดเยี่ยมมากค่ะ ชนม์เป็นเด็กดีมาก"

หา.....นี่เด็กๆ อยากเลี้ยงเหาหรือนี่......แปลกจริงหนอ ++ 5555



วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553




แล้วหมาอยู่ไหนหล่ะ ?


ทุกวันหลังจากน้องอนุบาล 1 ตื่นนอน ทุกคนจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บที่นอน ล้างหน้า แปรงฟันแล้วเตรียมดื่มนม
แต่วันนี้ขณะที่เพื่อนๆทุกคนกำลังเตรียมตัวดื่มนมอยู่นั้น น้องสกายเด็กชายตัวน้อยที่รักสุนัขเป็นชีวิตจิตใจก็กำลังเก็บที่นอนของตัวเอง โดยนำที่นอนของตัวเองไปเก็บไว้ในตู้เก็บที่นอน พร้อมกับเอาตัวเองเข้ามาไปนั่งเล่นอยู่ในนั้นด้วย
ครูภร " น้องสกาย ทำยังไงน๊า ถึงจะออกมาจากตู้"? จากนั้นครูภรก็เดินไปหยิบตะกร้ายางรัดผมที่อยู่บนตู้เก็บที่นอนนั้น
น้องสกาย " มีแต๊หมาท่อนั่นหล่ะ ที่จะมาไล่ ค่อยสิออกไป" พูดแล้วน้องสกายก็วิ่งออกจากตู้เก็บที่นอน ครูภรยืนมองน้องสกายวิ่งออกไปพร้อมกับทวนคำพูดของน้องสกายเบาๆว่า " มีแต่หมาเท่านั้นที่มาไล่จึงจะออก และตอนนี้สกายวิ่งออกไปแล้ว แล้วหมาที่ไหนหล่ะมาไล่ ถ้าไม่ใช่... ???"

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ครูให้ทำงานเยอะ


วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2553 ชั้นป.2 เรียนโครงงานตอนบ่ายโมง หลังจากได้หัวข้อโครงงานแล้ว วันนี้ทุกคน จะได้ช่วยกันรวบรวมเนื้อหาสิ่งที่อยากเรียนรู้ จัดกลุ่มเนื้อหาหลักที่ทุกคนสนใจ นักเรียนช่วยกันคิด ช่วยกันรวม ส่วนครูทำหน้าที่เขียนลงบนกระดานให้ (Blackboard Share) วันนี้เด็กๆ ร่วมมือกันดีมาก ได้เนื้อหาที่จะเรียนเยอะ ครูต้องเขียนให้จนล้นกระดาน หลังจากนั้นนักเรียนทุกคนจึงเขียนเนื้อหาที่ช่วยกันรวบรวมลงสมุดตนเอง โดยกำหนดเวลา 40 นาที เมื่อเสร็จแล้วทุกคนจะต้องสรุปการเรียนรู้รายสัปดาห์ 2 สัปดาห์พร้อมกัน เพราะเพิ่งได้หัวข้อที่จะเรียน และเหตุก็เกิดขึ้น พี่อังอัง : ครูแป้งขาเขียนบนกระดานเสร็จแล้วทำสรุปสัปดาห์เลยหรือค่ะ
ครูแป้ง : ใช่ค่ะ
พี่อังอัง : หนูว่าแล้วว่าวันนี้ต้องได้สรุปสัปดาห์
ครูแป้ง : ทำไมล่ะคะ

พี่อังอัง : ก็เรายังไม่ได้สรุปสักสัปดาห์เลยนี่คะ / ระหว่างนั้นพี่คิมก็จดงานบนกระดานเสร็จ และเดินมาส่งงานพร้อมรับงานสรุปสัปดาห์และนั่งลงข้างๆครู

พี่คิม : ครูแป้งครับ ทำสองสัปดาห์เลยเหรอครับ (ถามยิ้มๆ)

ครูแป้ง : ครับ...พี่คิมทบทวนดูนะคะสัปดาห็ไหนทำอะไรบ้าง ดูจากรูปก็ได้ค่ะ

พี่คิม : สัปดาห์นี้สัปดาห์ที่เท่าไหร่ครับครูแป้ง
ครูแป้ง : สัปดาห์ที่ 3 ค่ะ ทำไมหรือครับ

พี่คิม : (ก่อนตอบพี่คิมอมยิ้มมองหน้าครู) ถ้าสรุปสัปดาห์ที่3 ผมจะเขียนว่าสัปดาห์นี้ครูแป้งให้ทำงานเยอะแล้วก็ ...จบเลย

สวัสดีต้นไม้


ประมาณ 11.00 น. น้องอนุบาล 1 กำลังต่อแถวกันไปทานข้าว เมื่อทุกคนได้ที่นั่งเรียบร้อยแล้ว

คุณครู : เมื่อทุกคนพร้อมแล้วเราจะกล่าวขอบคุณข่าว โดยวันนี้คุณครูขอให้โต๊ะสามเป็นผู้นำกล่าว เมื่อเด็กๆ กล่าวขอบคุณข้าวจบ
คุณครู : ทุกคนมองที่พี่นาฬิกา เรามีเวลาทานข้าวกี่นาทีคะ
เด็กๆ : 20 นาทีค่ะ/ครับ
คุณครู : ตอนนี้พี่เข็มยาวชี้ที่เลข 2 เราจะนับพร้อมๆ กันนะคะ จากเลข 2 ไปถึงเลข 3 เป็นเวลา 5 นาที จากเลข 2 ไปถึงเลข 4 เป็นเวลา .........จากเลข 2 ไปถึงเลข 6 เป็นเวลา 20 นาที วันนี้เราทานขาวพี่เข็มยาวชี้ที่เลข 6 เชิญทุกคนที่น่ารักรับประทานอาหารได้ค่ะ
เมื่อได้รับสัญญาณเด็กๆ ทุกคนต่างก็รับประทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ เพราะถ้าคุยกันหรือเล่นกัน อาจจะหมดเวลากินข้าว เมื่อเ็ด็กๆ เริ่มทานเสร็จก็มีเด็กชายคอปเดินเข้ามาถามคุณครู
เด็กชายคอป : คุณครูครับผมจะรดน้ำพี่ต้นไม้ได้เหรือเปล่าครับ
คุณครู : ได้สิคะ เยี่ยมมากเลยพี่ต้นไม้คงจะหิวเหมือนเด็กๆ อย่าลืมร้องเพลงให้พี่ต้นไม้ฟังด้วยนะคะเขาจะได้มีความสุข
สิ้นเสียงคุณครู เด็กชายคอปรีบวิ่งไปยังบัวรดน้ำ เติมน้ำแล้วก็ไปนั่งรดน้ำต้นไม้ที่ตนเองปลูก พร้อมกับได้ยินเสียงแว่วๆ ดังมา
"สวัสดีวันนี้พบกัน สุขใจพลันฉันได้พบเธอ
โอลันลา โอลันลา ลันลา โอลันลา โอลันลา ลันลา"
เสียงเพลงร้องกลับไปกลับมาจนกระทั้งเด็กชายคอปรดน้ำต้นไม้เสร็จ พร้อมกับร้อยยิ้มที่จริงใจให้พี่ต้นไม้ที่เขารดน้ำ

เด็กชายแอปเปิ้ล

          ปีนี้เป็นปีที่สองของการเปิดเรียน  ทางโรงเรียนจึงประกาศรับสมัครครูเพิ่ม  ทั้งครูประถมและอนุบาล  ในปีนั้นมีครูมาสมัครประมาณเจ็ดร้อยกว่าคน  เราจึงคัดจากใบสมัคร เพื่อนัดมาสอบสัมภาษณ์  รวมทั้งทดลองสอนให้เราดูด้วย  คุณครูที่สมัครอนุบาลก็ทดลองสอนชั้นอนุบาล 1 สังเกตบรรยากาศแล้วรู้สึกว่าครูใหม่จะตื่นเต้นกับการสอนในครั้งนี้  อาจจะด้วยเพราะเพิ่งจะเรียนจบ  ไม่ใช่สิ  ยังไม่จบ  แต่คาดว่าน่าจะจบ  เพราะยังใสชุดนักศึกษามาสอนด้วย
ครูใหม่  :  สวัสดีค่ะน้องอนุบาลหนึ่งที่น่ารักทุกคน
อนุบาล 1  :  สวัสดีค่ะ  สวัสดีครับ
ครูใหม่  :  ครูชื่อครูน้อยนะคะ  จะมาสอนเด็กๆ ในวันนี้  เนื่องจากว่าครูยังไม่รู้จักชื่อเด็กๆ เลย  เพื่อให้ครูจำเด็กๆ ได้ง่าย  ครูมีสัญลักษณ์ที่แทนตัวเด็กๆ มาให้ด้วยค่ะ
          พอได้ยินที่ครูน้อยพูด  เด็กๆ ก็ตื่นเต้นลุ้นว่าตัวเองจะได้สัญลักษณ์อะไร  หนึ่งในนั้นก็มีเด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งที่นั่งข้างๆ ครูน้อย  เขาเห็นสัญลักษณ์ทุกอย่างที่ครูน้อยนำมา  เนื่องจากว่าเด็กๆ อนุบาลปกติเข้ามาใหม่ก็จะมีสัญลักษณ์ที่เป็นรูปผลไม้ติดอยู่ที่บ้านของตัวเอง(ที่นั่ง)  อยู่แล้ว  เด็กชายแทนก็เช่นกัน  สัญลักษณ์ของเขาคือ  แอปเปิ้ล  
ครูน้อย  :    คุณครูจะเรียกที่ละคนให้มารับสัญลักษณ์  ใครได้แล้วคล้องคอไว้เลยนะคะ  ครูจะได้มองเห็น  
          ขณะที่ครูเรียกเด็กๆ แต่ละคนออกมารับสัญลักษณ์  เด็กชายแทนที่นั่งอยู่ด้านข้างก็จ่องตาไม่กระพริบ  พร้อมปากก็พึมพรำบางอย่าง  จึงลองขยับเข้าไปใกล้ๆ เพื่อฟังว่าเขาพูดอะไร
เด็กชายแทน  :  แอปเปิ้ล  แอปเปิ้ล  แอปเปิ้ล.......
          ด้านครูน้อยก็เรียกเด็กๆ ออกมาเรื่อยๆ  จนถึงคิวของเด็กชายเบส  
ครูน้อย  :  เชิญค่ะ  เด็กชายเบสเดินออกมารับสัญลักษณ์ทันที  แล้วครูน้อยจึงหยิบสัญลักษณ์ที่เป็นแอปเปิ้ล  ให้กับเด็กชายเบส  ขณะนั้นเด็กชายแทนก็ยังไม่หยุดพึมพรำ  แอปเปิ้ล  แอปเปิ้ล......
เมื่อสายตาเห็นแอปเปิ้ลตกไปอยู่ในมือเด็กชายเบส  ดังสายฟ้าฟาดลงมากลางใจ
เด็กชายแทน  :  กูวาแล้ว!!!!!!!!!!  ตะโกนออกมาเป็นภาษาที่ตนถนัด  พร้อมกับนอนหงายแล้วเอาเท้าทั้งสองข้างยกขึ้นไปข้างไว้บนขอบกระจกที่ติดผนังของห้องเรียน  โดยที่ไม่สนใจครูน้อยที่ตอนนี้กำลังเหงื่อตก  หลังจากที่ได้เจอท่าทีของเด็กชายแทน  จะทำอะไรก็ไม่กล้าเนื่องจากว่าคณะกรรมการก็กำลังสังเกตตัวเอง  แล้วระฆังก็ช่วยไว้ได้ทัน  เมื่อคณะกรรมการส่งสัญญาณให้ครูน้อยว่าหมดเวลาสอน  
          หลังจากเหตุการณ์วันนั้น  ครูน้อยครูใหม่ก็ได้มาเป็นครูสอนเด็กชา่ยแทนจริงๆ และเป็นครูอนุบาลจนทุกวันนี้

สิ่งไม่มีชีวิตในน้ำ

 ณ ห้องเรียนน้องอนุบาล 1  วันนี้ครูประจำชั้นลาไปเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล  เลยมีคุณครูมาสอนแทน  รวมทั้งมีคุณพ่อ  คุณแม่  ผู้ปกครองที่สนใจมาร่วมฟังเด็กๆ สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้อีกสามท่าน
คุณครู  :  สวัสดีค่ะน้องๆ อนุบาลที่น่ารัก  วันนี้คุณครูมีโอกาสได้มาอยู่กับเด็กๆ ซึ่งก็เป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการเรียน ดังนั้นเราจะมาช่วยกันสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโครงงานที่เรียน  ใครพร้อมที่จะนำเสนอบ้างคะ  เด็กๆ ทุกคนต่างก็พากันยกมือทั้งห้อง
คุณครู  :  ขอถามก่อนว่า  Quarter นี้เราเรียนโครงงานอะไร เด็กๆ ต่างก็ยกมือแย่งกันตอบ  "คุณครูขอเลือกหนึ่งคนช่วยตอบค่ะ"  เชิญน้องอ๋อมแอ๋มค่ะ
น้องอ๋อมแอ๋ม  :  มหัศจรรย์แหงลำน้ำค่ะ
คุณครู  :  แล้วคุณครูแบ่งให้เด็กๆ สรุปยังไงบ้างค่ะ
น้องกฤษ :  คุณครูให้หัวข้อแต่ละคนไปสรุปมาครับ
คุณครู  :  ถ้าอย่างนั้นคุณครูสุ่มเลือกคนที่น่ารักทีละคนนะคะ  คนแรกขอเลขที่  12  ค่ะ
น้องนุ่น  :  สวัสดีค่ะ  หนูชื่อเด็กหญิง.............ชื่อเล่นน้องนุ่นค่ะ  จะมานำเสนอประโยชน์ของน้ำค่ะ ประโยชน์ของน้ำคือ........เด็กหญิงก็เล่าถึงประโยนช์ต่างๆ ของน้ำ  พร้อมกับโชว์ภาพที่เขาวาดระบายสีอย่างสวยงาม
          เด็กๆ ก็หมุนเวียนเปลี่ยนกันออกมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับน้ำในหัวข้อที่ตัวเองสนใจ  และเมื่อถึงคิวของเด็กชายที่น่ารักอีกคนนั้นก็คือ  ใบตอง
น้องใบตอง  :  สวัสดีครับ  ผมชื่อเด็กชาย.......ชื่อเล่นใบตอง  เรียนอยู่ชั้นอนุบาล 1  ครับ 
คุณครู  :  วันนี้น้องใบตองจะมาเล่าเรื่องอะไรให้เพื่อนๆ ฟังคะ
น้องใบตอง  :  เรื่องสิ่งไม่มีชีวิตที่อยู่ในน้ำครับ
คุณครู  :  น่าสนใจมากเลยค่ะ มีภาพประกอบด้วย  ทุกคนตั้งใจฟังนะคะ
น้องใบตอง  :  สิ่งไม่มีชีวิตที่อยู่ในน้ำได้แก่  ขวด  ถุงพลาสติก  กล่องนม 
          เด็กชายใบตองเงียบไปพักหนึ่ง  แล้วเขาก็หันมามองหน้าคุณครู  เหมือนลังเลบางอย่าง
คุณครุ  :  หมดหรือยังค่ะน้องใบตอง
น้องใบตอง  :  ยังไม่หมดครับ
คุณครู  :  เรามาฟังเพื่อนเราต่อกันดีกว่า
น้องใบตอง  :  สิ่งไม่มีชีวิตที่อยู่ในน้ำอีกอย่างก็คือ  ปลาตายครับ
          ทั้งคุณครู  คุณแม่  และผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากัน  และอมยิ้มให้กับความสดใสน่ารักของใบตอง  ทุกอย่างที่น้องใบตองนำเสนอเราแทบไม่ต้องอธิบายอะไรต่ออีกเลย  เข้าใจความคิดของเด็กๆ ได้ทันที

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ลูบคมคนหล่อ


หลังเลิกเรียน เด็กๆอนุบาลจะแยกย้ายไปทำกิจกรรมตามจุดต่างๆ เช่น
สนามเด็กเล่น มุมของเล่น มุมหนังสือ และในห้องเรียน
ระหว่างที่รอผู้ปกครองมีเด็กๆบางคนชอบไปนั่งทำการบ้าน
หรือไม่ก็วาดรูประบายสี วันนี้น้องกายผู้พกความมั่นใจเต็มร้อย น้องอั้มสาวมั่นเกิน100 และน้องหอมสาวน้อยน่ารัก ไปนั่งวาดรูประบายสีในห้องเรียน
น้องกาย : คุณครูเบิ่งของกาย ง้าม งาม
กายพูดด้วยความมั่นใจตามสไตล์กายหล่อ กายเท่ห์ กายเก่ง

ครูอุ๊ : คุณครูดูของกายสวยไหมครับ กายวาดสวย เก่งมากเลยค่ะ ลองพูดตามนะคะ

น้องกาย : คุงครู ของกายสวยหมายครับ

ครูอุ๊ : สวยมากเลยค่ะ

น้องอั้ม : เหลือบมองนิดๆ แล้วส่ายหน้าหน่อยๆ

น้องหอม : กายระบายสีให้สวยๆหน่อย

ครูอุ๊ : วันนี้ทุกคนเยี่ยมมากเลย ก่อนกลับบ้าน ล้างหน้าทาแป้งให้หอมๆนะคะ

ทุกคน : ครับ/ค่ะคุณครู

หลังจา่กทำงานเสร็จทุกคนก็ประแป้งหอมๆส่งยิ้มหวานๆให้กัน

น้องอั้ม : กายขนาดทาแป้งแล้ว หน้าก็ยังลำ (ดำ)อยู่เลย

น้องกาย : -ึงว่ากูติ

ครูอุ๊ : 555555 เอาล่ะค่ะเด็กๆวันนี้ทุกคนเยี่ยมมากเลย น้องอั้ม น้องกาย น้องหอม
ก็น่ารักไปคนละแบบ ไหนก่อนกลับบ้านให้เรียกชื่อเพื่อนแล้วลงท้ายว่าน่ารักนะคะ
อั้มน่ารัก กายน่ารัก หอมน่ารัก..........เฮ้อ โล่งอก เหอๆ เหอๆ

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สาเหตุของท่อน้ำแตก



ช่วงเวลาหลังทานข้าวเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ครูณีกำลังนั่งคุยกับครูสังข์อยู่ที่เก้าอี้ไม้นั่งเล่นหลังอาคารประถมฯอยู่นั้น พี่เจษหรือเด็กชายด็อกเตอร์แมลง (ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะว่าเป็นคนที่ชอบค้นคว้าและสนใจเรื่องแมลงมากๆเลยค่ะ) นักเรียนชายชั้นป.4 ได้วิ่งตรงมาหาคุณครูแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นแล้วพูดว่า
“ ครูณีครับ ท่อน้ำตรงสนามหน้าเสาธงแตกครับ แต่ตอนนี้พี่โป๊งเหน่งวิ่งไปบอกคุณลุงคนงานแล้วครับ”
ครูณี “ แล้วเกิดขึ้นได้ยังไงคะ”
พี่เจษ พูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นอีกครั้ง พร้อมกับแสดงท่าทางประกอบ “ พี่โป๊งเหน่งทำครับ ตอนแรกนะครับ พี่โป๊งเหน่งจะเตะบอลใส่ผม ผมก็วิ่งหลบซ้าย พี่โป๊งเหน่งก็เตะอีก ผมก็วิ่งหลบขวา ผมวิ่งหนีพี่โป๊งเหน่งได้ทุกครั้งเลยครับ ทีนี้พี่โป๊งเหน่งเขาไม่ยอม จะเตะบอลใส่ผมให้ได้ ผมก็วิ่งหนีครับ ผมวิ่งเร็วมากเลย แล้วผมก็วิ่งมาทางสนามหญ้าหน้าเสาธง แล้วพี่โป๊งเหน่งเขาก็เตะมาใส่ผมอีกครับ แต่ผมก็หลบได้อีก ลูกฟุตบอลจึงไปถูกท่อน้ำแตกนั่นแหล่ะครับ”
ครูณี “ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง พี่เจษหลบเก่งมากเลยค่ะ”

แม่ข้าใครอย่าแตะ



ในคาบเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นป.4 คุณครูได้ให้เด็กนักเรียนทุกคนนั่งล้อมวงเป็นวงกลมเพื่ออ่านหนังสือวรรณกรรมเรื่อง กำพร้าบัวตอง โดยคุณครูจะให้นักเรียนผลัดกันอ่านทีละคนๆละ 7 บรรทัด ขณะที่เด็กๆกำลังอ่านหนังสือด้วยความตั้งใจอยู่นั้น สักพักก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ ฮือ ฮือ ดังขึ้นมา คุณครูเริ่มมองหาและสอดส่ายสายตาว่าเสียงนั้นมาจากไหนกันนะ และแล้วเราก็พบที่มาของเสียงร้องไห้นั้นแล้วค่ะ

ครูณี พี่แทน ร้องไห้ทำไมคะ

พี่แทนเด็กชายตัวน้อย ที่มีนิสัยรักท้องทุ่งเป็นชีวิตจิตใจ ตอบพร้อมกับเสียงสะอื้นเบาๆว่า เพื่อนเขาด่าแม่ผมครับ

ครูณี ใครด่าแม่พี่แทนคะ แล้วด่าว่ายังไง

พี่แทน พี่เบสครับ เขาด่าแม่ผม

พี่เบส เด็กชายผิวขาว ร่างท้วม ก็รีบยกมือขึ้นขอพูดบ้างว่า ผมไม่ได้ด่านะครับ

พี่แทน บ่ได่ด่าจั๋งใด๋ เขาได่ยินอยู่

พี่เบส เขาด่าตอนได๋ แหล่วด่าว้าจั๋งได๋

พี่แทน คำว่าเตี้ย นั่นแด๋ ซื่อแม๋เขา

พี่เบส อ๋อ คุณครูครับ ผมอ่านประโยคจากหนังสือที่ว่า ต้นไม้ต้นเตี้ยๆเองนะครับ

ครูณี เอาหล่ะค่ะเด็กๆ ครูณีรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น พี่แทนคะ พี่เบสเขาอ่านประโยคจากหนังสือเท่านั้นเอง ไม่ได้ด่าแม่พี่แทนซักหน่อย ทีนี้พี่แทนก็ไม่ต้องเสียใจว่าเพื่อนด่าชื่อแม่ของตัวเองแล้วนะคะ

พี่แทน นั่งก้มหน้าแล้วดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาและตอบเบาๆว่า ครับ เพื่อนๆในห้องต่างพากันนั่งยิ้มและหัวเราะเบาๆ กับข้อถกเถียงระหว่างพี่แทนกับพี่เบส และก็ได้เรียนรู้แล้วว่า ชื่อแม่ข้าใครอย่าแตะนะ จะ บอก ให้ .

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล่าจากค่ายพัฒนาจิต



ทุกๆปี ทางโรงเรียนจะจัดให้มีการเข้าค่ายพัฒนาจิต สำหรับนักเรียนชั้นป.5 ที่เตรียมตัวจะเลื่อนชั้นเป็นพี่ป.6 เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน และในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน
เวลา 7.30 น. พี่ป.6 ในอนาคตจำนวน 30 คน พร้อมกับคณะผู้ปกครองได้มารวมตัวกันที่วัดหนองหญ้าปล้อง หรือรู้จักกันดีในชื่อวัดป่าทะเมนชัย ตั้งอยู่ที่ ต. ทะเมนชัย อ.ลำปลายมาศ จ. บุรีรัมย์ ที่วัดแห่งนี้มีพระสงฆ์เพียงหนึ่งรูปคือหลวงพ่อบุญตา
ตอน : รับศีล 8
เมื่อเด็กๆทุกคนมาพร้อมกันแล้ว คณะครูก็ได้พาเด็กๆแยกย้ายเก็บสัมภาระและช่วยกันทำความสะอาดที่พักของตนเอง โดยแยกเป็นเรือนพัก ชาย – หญิง คณะครูและเด็กๆก็มาทานอาหารเช้าพร้อมกัน หลังจากนั้นก็ถึงเวลารับศีล 8 จากหลวงพ่อบุญตา ซึ่งการถือศีล 8 นั้นทุกคนจะต้องทานอาหาร 2 มื้อ และดื่มน้ำปานะในตอนเย็นเท่านั้น แล้วหลวงพ่อได้อธิบายถึงวิธีการปฏิบัติและรักษาศีลแก่เด็กๆทุกคน
หลวงพ่อ “ เอ้า ไผบอกได้ว่าการเว้าคำหยาบ เว้าคำบ่ดี เป็นจั๋งได๋แน ? ”
พี่ปาล์ม เด็กผู้ชายขาลุย พูดเก่ง และมีสัญลักษณ์พระจันทร์เสี้ยวที่ศีรษะ ได้ยกมือขึ้น แล้วตอบว่า “ หลวงพ่อครับ ขอโทษนะครับ ยกตัวอย่างเช่นคำว่า บักห่านี่ ” หลวงพ่อ คณะครูและเพื่อนๆต่างก็พากันหัวเราะร่วนกับคำตอบของพี่ปาล์ม
หลวงพ่อ “ เธออยู่บ้านได๋ ”
พี่ปาล์ม “ บ้านกวางงอยครับ ”
หลวงพ่อ “ อืม ”
( ลืมบอกค่ะว่า หากใครศีลขาด จะต้องมานั่งสมาธิต่อศีลเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง )

ตอน : มันไปเองครับ
เด็กๆห้องนี้เป็นเด็กที่ชอบกิจกรรมร้องเล่น เต้นรำเป็นที่สุดค่ะ มีทั้งนักร้อง นักดนตรี อย่างเช่นนักดนตรีก็ได้แก่ พี่เอิร์ธ กลองชุด พี่เก่ง กีต้าร์ พี่เจมส์ คีย์บอร์ด นักดนตรีไทยก็มีค่ะ เช่น พี่ลาร์ค กรับ พี่อั๋น ฉิ่ง
พี่ปาล์ม พี่โจ๊กเกอร์ ตะโพน พี่ช้าง ซอด้วง พี่จ๋อม ซออู้ พี่แนน พี่ออม พี่รัก นักร้อง ถ้าเป็นนักเต้นหล่ะก็ หมดทั้งห้องเลยค่ะ
เช้าของวันที่ 2 คณะครูได้พาเด็กๆ เดินจงกลมรอบๆเจดีย์พระธาตุ เด็กๆทุกคนน่ารักมาก เดินจงกลมด้วยอาการสำรวม ค่อยๆ กำหนดจิตทุกย่างก้าว พุท… โธ… และแล้วก็ได้ยินเสียงดนตรีดุริยางค์ของโรงเรียนที่อยู่ข้างวัดดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ จังหวะของเสียงดนตรีนี้ช่างสนุกและเร้าใจอีกต่างหาก ลองคิดดูนะคะว่าอีกฝากหนึ่งคือกลุ่มคนที่ซ้อมเพลงวงดนตรีดุริยางค์กันอย่างสนุกสนาน และอีกฟากหนึ่งกำลังเดินจงกลมกำกับสติ อยู่ในภาวะที่สงบนิ่ง
สักพักก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นว่า พี่เจมส์ “ ครูณีครับ ขามันไปเองครับ ”
ครูณี “ พี่เจมส์ครับ เราต้องอดทนนะคะ และต้องรู้ว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่”
พี่เอิร์ธ “ ครูครับผมก็ไปเหมือนกัน มือมันไปเองครับ”
พี่ตะ “ ครูณีครับ พี่โอเค้าเต้นไปแล้วครับ”
แต่ที่แน่ๆ วันนี้ครูณีบอกได้เลยค่ะว่า มีเด็กๆมานั่งสมาธิต่อศีลกันเพียบเลยเชียวค่ะ

ตอน : เทียนไม่ดับ ทำไงดี
เวลา 18.00 น. เด็กๆ และคณะครูก็จะมาร่วมกันสวดมนต์ทำวัตรเย็นกับหลวงพ่อและคุณตา คุณยายทั้งหลายที่มาวัดในตอนเย็น หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของวัด ว่าแต่ก่อนนั้นเป็นป่าช้ามาก่อน และที่วัดก็ยังมีเตาเผาศพสมัยก่อนและก็เคยใช้งานมาแล้วด้วยนะ
พี่ฟร้อง “ หลวงพ่อครับ ทำยังไงเราจะไม่กลัวความมืดครับ ”
หลวงพ่อ “ เราต้องมีสติ ”
พี่ปาล์ม “ หลวงพ่อ เคยเห็นผีไหมครับ”
หลวงพ่อ “ ผี มันเป็นตัวยังไงเหรอ ทำไมถึงกลัวมัน ถ้ากลัวก็แผ่เมตตาให้เค้าสิ” เมื่อเด็กสนทนากับหลวงพ่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ครูณี “ เด็กๆค่ะ งั้นวันนี้ เดี๋ยวเราจะมาฝึกสมาธิ เพื่อขจัดความกลัว โดยการนั่งสมาธิเดี่ยวกับเทียนเพียงเล่มเดียวค่ะ ” ลองจินตนาการคิดถึงสีหน้าของเด็กๆเมื่อได้ยินคำพูดของคุณครูเมื่อกี้นะคะ
จากนั้นคณะครูก็ได้นำเด็กๆทุกคนแยกย้ายไปนั่งสมาธิเดี่ยว ระยะห่างของแต่ละคนก็ไกลน่าดูเลยเชียวค่ะ
บางคนก็ได้นั่งหน้าฮวงซุ้ย บางคนก็นั่งหน้าเตาเผาศพ ตามทางเดินบ้าง ตามกำแพงวัดบ้างตามดุลยพินิจของคุณครูค่ะ
เด็กๆจะนั่งสมาธิอยู่กับตนเองอย่างนี้จนกว่าเทียนที่ครูให้หนึ่งเล่มนั้นจะดับหมด ขณะที่เด็กๆกำลังตั้งใจฝึกสมาธิกันอย่างสงบนั้น คุณครูก็จะเดินดูเด็กๆแต่ละคนไปเรื่อยๆอย่างเงียบและเบาที่สุด ช่วงเวลานี้เราก็จะเห็นแสงเทียนที่เปล่งประกายเป็นไฟดวงน้อยกระจายไปทั่วทุกจุดของวัด พร้อมกับความสงบนิ่งของเด็กๆทุกคน ขอบอกว่านิ่งจริงๆนะคะ หลับตาสนิท ไม่กระดุกกระดิกเลย สงสัยเข้าถึงสมาธิอย่างถ่องแท้แน่ๆเลย
หากเด็กๆคนไหนเทียนดับหมดแล้ว คุณครูก็จะเดินไปรับทีละคนๆ และแล้วผู้ที่เทียนดับคนแรกก็ได้แก่
พี่นุ เด็กชายที่พูดน้อยมาก ก็เอ่ยขึ้น “ ครูณีครับ เทียบผมดับหมดแล้วครับ ”
ครูณี “ พี่นุ ลุกขึ้น แล้วเดินตามครูณีมาค่ะ” คุณครูและพี่นุก็เดินมาตามทางผ่านเด็กนักเรียนที่เทียนยังไม่ดับมาสัก 3 คน และก็ผ่านพี่ช้าง ซึ่งพี่ช้างเป็นคนแรกที่ครูให้นั่งสมาธิก่อนใครเลยนะคะ
พี่ช้าง “ นุ นุ เฮ็ดจั๋งได๋ เทียนดับไวแถ้ ”
พี่นุ “ ตั้งเอียง ๆ”
“ อะ แฮ่ม” เสียงกระแอมของคุณครู ทำให้พี่นุเดินตามหลังคุณครูอย่างเงียบๆ ส่วนพี่ช้างก็นั่งสมาธิอย่างสงบต่อไป จนกว่าเทียนจะดับ
.


.